ไทเป ไทเป เมืองที่เป็นจุดศูนย์กลางของไต้หวัน ก่อนที่เราจะมาที่นี่เราก็ได้ยินหลายๆคนพูดว่าไต้หวันเป็นเกาะเล็กๆที่แยกออกมาจากจีน หน้าตาเป็นคนจีนแต่นิสัยใจคอเหมือนคนญี่ปุ่น จากที่คนพูดมามันเลยทำให้เราอยากรู้จักไต้หวันมากขึ้นบวกกับการที่ได้รู้จักกับเพื่อนชาวไต้หวันคนหนึ่งทางโปสการ์ดยิ่งทำให้เราอยากไปที่นั่นให้เร็วๆเพราะเขาดูเป็นคนจีนที่สุภาพมาก
จุดเริ่มต้นจริงๆที่สนใจไต้หวันคือโปสการ์ดใบหนึ่งที่เพื่อนส่งมาให้ ซึ่งมันก็คือรูปตึก Taipei 101 ตอนที่มีพลุกระจายออกมาจากตึกอย่างอลังการในวันขึ้นปีใหม่ มันเลยรู้สึกว่าเห้ย! มันก็คงยิ่งใหญ่พอๆ Time square นิวยอร์กนั่นแหละ (มั้ง)
“โปสการ์ดใบนี้เลย”
มาถึงสนามบินเถาหยวน สิ่งที่เราตื่นตามากที่สุดที่คือการที่เราเข้ามินิมาร์ทแล้วไม่มีถุงใส่ให้เรา!! จริงๆเราก็ได้อ่านรีวิวมาบ้างว่าถ้าซื้อของที่นี่เราต้องเตรียม Shopping bagมาเอง เพราะไม่เช่นนั้นเราจะต้องซื้อถุงใส่ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้คิดไงว่าเราจะเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ตอนอยู่สนามบิน เราซื้อขนมเยอะมากเพราะนี้คือมื้อแรกของเราที่มาถึง สุดท้ายก็เลยต้องหอบขนมเต็มไม้เต็มมือไปเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วคิวเพื่อนจะไปซื้อก็ถือถุงก๊อบแก๊บไปเอง ฮ่าๆ
*ความจริงถุงก็ราคาไม่แพงตกใบละบาท แต่ตอนนั้นพอรู้ว่าเสียเงินรู้สึกไม่อยากจ่าย เพราะอะไรก็ไม่รู้ ฮ่าๆ เเต่ก็รู้สึกเหมือนได้ฝึกนิสัยไปในตัวถ้ากลับมาทำแบบนี้ในไทยคงจะดีมากๆ แต่ร้านค้าใหญ่ๆในห้างสรรพสินค้าก็มีถุงใส่ให้ฟรีน้า
ทริปนี้เราตั้งใจมา3คน แต่สุดท้ายพี่สาวของเพื่อนก็ไม่ว่าง กลายเป็นทริป2สาวแสนสวย กับเพื่อนสาวที่ลุคบอยมากๆใครๆก็คงคิดว่าแฟนอ่ะ จะบ้าตาย นี่เพื่อนสาวฉันย๊ะ ฮ่าๆ
ความเป็นกฏระเบียบที่น่ารักมากๆของคนไต้หวันที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่มาถึงก็คือที่นั่งบนรถไฟฟ้า เห็นเก้าอี้สีน้ำเงินที่นั่งว่างตรงนั้นไหม มันเป็นที่นั่งสำหรับคนชรา สตรี ผู้พิการและเด็กประมาณนั้นแหละ ที่ไทยเราก็จะมีบนรถเมลล์แต่ถ้ามันว่างเราก็จะนั่งทันที แต่ที่นี่ไม่ว่ารถไฟจะคนเยอะแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีเด็กไม่มีคนชราเก้าอี้สีน้ำเงินในรูปก็จะถูกปล่อยว่างแบบในรูปเลย วัยรุ่นหนุ่มสาวอย่างเราจะไม่มีสิทธิ์นั่งเพราะมันคือกฏระเบียบของสังคมที่อยู่ร่วมกัน
*มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเจอหนุ่มเกาหลีเขาคงจะไม่รู้เลยนั่งลงแบบไม่ได้สนใจสายตาผู้คน สาวๆไต้หวันเลยแอบมองแล้วเม้ามอยคิกคักๆ หนุ่มเกาหลีเลยรู้ตัวจนต้องรีบลุงจากเก้าอี้สีน้ำเงินด้วยอาการเขินๆ ฮ่าๆ
DAY 1
วันแรกของเราคือการนัดเจอเพื่อนทางโปสการ์ดที่มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันแต่นี่ก็เป็นการเจอกันครั้งแรก เพื่อนของเราคนนี้สนใจในภาษาไทยและข่าวสารประเทศเรามากๆ
Tumsui River
เราจะไปเดินเล่นที่ Tumsui River เพื่อนเราบอกว่าจะพาไปปั่นจักรยานริมแม่น้ำ แล้วยังพูดเป็นภาษาไทยด้วยว่า “มันสวยมากๆ” แต่สุดท้ายก็อดปั่นเพราะฝนปรอยไม่หยุด
ลูกโป่งสีฟ้าที่ผูกกับกระเป๋าได้มาจากทางเข้ามหาลัย Tamkang University ซึ่งมันเป็นทางผ่านที่เราจะเดินไป Tumsui river บอกเลยตอนสาวจีนเรียกไปเอาลูกโป่งกับขนมพร้อมพูดภาษาจีนใส่รัวๆ เออ! เราก็กลมกลืนเหมือนกันนะ ฮ่าๆ รับของฟรีไว้ด้วยความเต็มใจ
ช็อตสำคัญกับความมีวินัยของคนไต้หวันอีกรอบ คือลูกโป่งใบนี้เริ่มหมดลม เราเลยเจาะให้ลูกโป่งแตกเพราะจะได้ไม่เกะกะ พอเพื่อนไต้หวันเห็นลูกโป่งกลายเป็นเศษพลาสติกเขารีบคว้าเศษลูกโป่งออกจากมือเราไปใปใส่กระเป๋าตัวเอง ในใจตอนนั้นอุทาน เห้ย! เขาคงกลัวเราทิ้งลงพื้นแน่ๆ เพราะไต้หวันหาถังขยะยากมากพอๆกับญี่ปุ่นเลยแต่สภาพแวดล้อมสะอาดสุดๆ คือทุกคนเก็บขยะใส่กระเป๋าไปทิ้งที่บ้าน Cute..
รูปคู่ของเบนซ์และเพื่อนไต้หวัน ฮ่าๆ
เราก็เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยจนเมื่อยขา เรา3คนเหนื่อยมาก ถามกันตลอดระยะว่าเหนื่อยมั๊ยก็ตอบการตรงๆพร้อมเสียงหัวเราะว่า “เหนื่อย เหนื่อยมาก” แต่ก็เดินกันต่อไม่หยุดหย่อน ไม่เข้าใจจริงๆ ฮ่าๆ
Tumsui fisheman’s Wharf
เป้าหมายต่อไปคือการไปเดินเล่นที่ Tumsui fisheman’s Wharf ที่นี่จะมีสะพานที่คนไทยเรียกว่า สะพานแห่งความรัก (Tumsui lovers’ Bridge)
“สวยและหนาวดีไม่มีคำอธิบาย”
“โดดเดี่ยวเดียวดายกลางท้องเล”
อากาศทีวันนั้นดีมากๆ มันเย็นๆเหมือนอยู่ในช่องแช่ผักตู้เย็น Feel good มากๆ
เป่ยโถ่ว (Beitou)
สถานที่ปักมุดที่สุดท้ายของวันนี้คือ เป่ยโถ่ว (Beitou) เป็นดินแดนของน้ำพุร้อนนั่นเอง เอาจริงๆเราก็ไม่ได้สนใจที่นี่มากตอนแรกอยากมาสุดๆ แต่ด้วยความเหนื่อยเหมื่อยล้าตอนนั้นเลยรู้สึกอยากกลับห้องไปนอนพักให้เร็วที่สุดมากกว่า คร้อกก..
ก่อนจะจากกันกับเพื่อนไต้หวันพวกเราก็เลย Meeting กัน 4คน รอบนี้มีแฟนของเพื่อนมาเพิ่มอีกคน อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันคริสต์มาสด้วยมั้ง มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนหนุ่มสาวหนุงหนิงกัน ทั้งที่ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ซะหน่อย เบื่อออ อิจฉาแต่ไม่มาก อิอิ
ชาไข่มุกร้านดัง ร้านที่ถ้าไม่มากินคงไม่ถึงไทเป ชาไข่มุกอุ่นๆไม่หวานแต่อร่อยมากๆ ถ้าตั้ง10ระดับของความหวานเทียบกับไทย บ้านเราคงเอาไปเลยระดับ9 แต่ไทเปต้นตำรับแท้ๆหวานแค่ระดับ 4 กินแล้วรู้สึกไม่เป็นเบาหวาน
อีกข้อสังเกตุคือขนมป๊อกกี๊รสช็อคโกแล็ตที่ญี่ปุ่นขมที่ไทเปก็ขมเหมือนกัน แต่ป๊อกกี้ไทยแลนด์หวานมาก สรุปคนไทยชอบกินอะไรหวานๆใช่ไหม
นอกจากวันคริสมาสต์วันนี้ก็ยังเป็นวันเกิดของเบนซ์ เพื่อนผู้ร่วมทริปของเราด้วย Happy birthday to you เราก็เป็นเพื่อนกากๆไม่ได้ทำเซอร์ไพรส์อะไรเพื่อนเลย
เราจำโมเม้นนั้นได้ขึ้นใจ เราไม่กล้าคุยกับแฟนของเพื่อนมากเพราะภาษาไม่ดีและวางตัวไม่ถูก เป็นบรรยากาศที่โครตเกร็ง เราไม่รู้จะทำอะไรได้แต่นั่งยิ้มและจิบน้ำฝรั่งขวดนี้ มันไม่ได้อร่อยแต่มันจิบแก้เขิน จนดื่มคนเดียวเกือบหมดขวด ถ้าเป็นเหล้าก็คงเมา (แต่เราเป็นคนไม่ดื่มนะ ฮี่ๆ)
“มันมีชื่อเรียกว่าอะไรไม่รู้ แต่จำได้ว่ามันอร่อยดี”
Ximending โซนที่พักอาศัยและช้อปปิ้งเราพักแถวนี้แต่กลับไม่ค่อยมีรูปแถวนี้เลย
“ที่ที่เราอยู่จนคุ้ยเคยเลยถูกมองข้าม”
นี่คือโฮลเทลสุดเก๋ WOW Hostel ที่พักที่พิกัดโอเคมากๆอยู่ในแหล่งช้อปปิ้งเลย แต่เสียงรอบข้างดังมากจนต้องแจกที่อุดหู ฮ่าๆ
DAY 2
วันนี้เราจะไปปักหมุดกันที่ Maokong Gondola เพราะเราจะไปขึ้นกระเช้าไฟฟ้าตามประสาสาว 18 กัน
เราชอบวิวตอนอยู่บนรถไฟก่อนถึงสถานีปลายทางที่ Maokong มากๆ เพราะมันมองเห็นวิวสวย 360องศา เลยหละ
“หลงรักหนุ่มน้อยคนนี้ซะแล้ว โตกว่านี้พี่จะของ Line”
สตรอเบอร์รี่เคลือบน้ำตาลไม้นี้ตอนแรกเห็นขายในเมืองเราคิดไว้ว่าต้องไม่อร่อยแน่ๆ แต่ก็อยากลองชิมดู สรุปคือมันอร่อยมากๆ น้ำตาลเคลือบแข็งโปกเลยสามารถบาดปากได้เลย แต่พอกัดไปถึงเนื้อสตรอร์เบอร์รี่ อูหูวว นุ่มมาก อร่อยจัง ฮู้!
“รสชาติเหมือนกุนเชียงเสียบไม้ย่าง”
เขาช้าง-Elephant Mountain hiking Trail
ลิสต์สำคัญที่ต้องมาให้ได้ของวันนี้ก็คือการขึ้นเขาช้าง (Elephant Mountain hiking Trail ) เพราะเราจะขึ้นไปดูวิวเมืองที่มองเห็นตึก Taipei 101 จากมุมที่สวยที่สุดกัน เย้!
ภาพไม่สวย เพราะกล้องมือถือเราไม่สู้ กล้องตัวเองตกแตก กล้องเพื่อนปรับไม่เป็น จบแล้ววิวที่สวยที่สุดเมมไว้ในความทรงจำ
ตลาดซื่อหลิน (Shilin Night Market)
เราเหนื่อยมามายแล้ว เราเดินมาเยอะแล้ว ต่อไปเราจะกิน กิน และกิน เราจะไปตะเวนกินที่ ตลาดซื่อหลิน (Shilin Night Market) ซึ้งที่นี้ก็คล้ายๆกับตลาดนัดจตุจักรที่บ้านเราเลย มีของอร่อยและเก๋ไก๋มากมาย แต่เพื่อนไต้หวันกลับบอกเราว่า ที่นี่ไม่มีอะไรอร่อยและของก็ยังแพงด้วยแต่มันเป็นตลาดที่คนมาเที่ยวไต้หวันครั้งแรกจะต้องมาเยือนเท่านั้นเอง
มาถึงไต้หวันแต่เราเข้าร้านอาหารไทย แค่อยากลองชิมว่ารสชาติเป็นยังไงแค่นั้นเลย
“ชาไข่มุกไข่กบ หนึบๆ”
“ราตรีสวัสดิ์ที่คืนที่ 2 Inn cube 3s”
DAY 3
จิ่วเฟิ่น (Jiufen)
วันสุดวัดสุดท้ายของทริป ทริปนี้เป็นทริปที่สั้นและกระชับมาก แต่ก็ดีเหมือนกันเราก็จะได้ประหยัดเงินไปในตัว เก็บไว้มาอีกรอบยาวๆ ก็ได้นอกจากทริปจะสั้นคนมาเที่ยวก็ยังตื่นสายอีก อีกนางง่วงนอน อีกนางนึงตื่นมาจองบัตรคอนเสิร์ตเกาหลี เอาเซ่! ชิลมาก งั้นลิสต์สุดท้ายของทริปนี้ไปกันตอนบ่ายเลยไม่ซีเรียส พวกเราก็เลยออกไปเที่ยวกันอย่างเปียกปอนช้อนกระเบื้องเหมือนลูกแมวตกน้ำกับลูกช้างตกโอ่ง แต่เราก็สตรองเพราะเราจะไป จิ่วเฟิ่น (Jiufen) เพื่อปิดทริปนี้ให้มันสมบูรณ์แบบสวยงาม
จิ่วเฟิ่นต้องนั่งรถไฟหรือไม่ก็รถบัสออกจากไทเปไปหลายชั่วโมง พวกเราเลยเลือกนั่งรถบัสเพราะรู้สึกสะดวกที่สุด
มาถึงจิ่วเฟิ่นแล้ว… มีความพีคคือหมอกหนามากและหนาวมาก ทั้งลมเอยฝนก็มา สนุกสนานสำราญใจ วัดใจว่าอากาศหรือคนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เป้าหมายของเราคือการกินๆแล้วก็กลับฝนอะไรไม่กลัวทั้งนั้น แต่วันฝนตกโชคยังเข้าข้างเราเสมอ เราไปเจอร้านคาเฟ่ร้านหนึ่งในรีวิวก็คิดว่ามาที่นี่แล้วคงหาไม่เจอหรอก ถ้าหาเจอได้ก็คงจะสุดยอดมากๆ แต่สุดท้ายก็เจอแฮะ ….ในความโชคดีก็มีความโชคดีซ่อนอยู่ คูลๆกันไป
“ชากลิ่นกุหลาบหอมมากๆจนอยากซื้อกลับบ้าน”
DAY 4
กลับบ้านเรา รักรออยู่
ถึงเวลากลับบ้านแล้ว กลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวที่รัก นี่คือเหตุผลที่อยู่น้อยวันทั้งที่ความฝันตัวเองคือการเค้าดาวน์ปีใหม่ที่ตึก Taipei 101 (แต่จองตั๋วในวันที่ต้องไม่ได้ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งเหมือนกันนะ ฮ่าๆ)
เก็บเงินก่อนฉลองปีใหม่ไว้เมื่อไหร่ก็ได้มั้ง ฮือๆ… Byebye Taipei …
ขอบคุณเจียหมิงที่ทั้งพาเที่ยวและเลี้ยงขนมพวกเราเทคแคร์อย่างดี พยายามพูดภาษาไทยเพื่อให้คนบ๊วยๆอย่างเราคุยรู้เรื่องเป็นมิตรภาพทางโปสการ์ดที่น่ารักที่สุด
ขอบคุณเบนซ์ที่เป็นเพื่อนร่วมทริปที่แสนดี แม้ฉันจะเสียงดังโวกเวกโวยวายกรี๊ดกร๊าดตลาดแตกจนน่ารำคาญ แต่แกก็ฝืนทนจนโอเค น่ารักที่สุดคุณเพื่อนสาวเกาหลีแทยอนเองไงจะใครหล่ะ ฮ่าๆ
ขอบคุณพ่อแม่ที่อนุญาตให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ 🙂