Copenhagen ถ้าใครเคยได้ยินนิยามความเป็นโคเปนเฮเกนก็มักจะได้ยินคำว่า โคเปนคือเมืองที่มีความสุขที่สุดในโลก เป็นคำยอดฮิตที่มาคู่กัน นึกถึงโคเปนต้องนึกถึงความสุข ภาพในหัวมันคือเมืองในฝันที่นับวันรอจะมาถึง
วันแรกกับการเดินเที่ยวโคเปน
เรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่2คืน วันแรกเราตั้งใจประหยัดค่าเดินทางและได้ใช้โอกาสในการเดินชมเมืองไปในตัว เพราะโคเปนมีพื้นที่แค่ 88.25 ตร.กม. ซึ่งเล็กมากๆ เมืองเปรียบเทียบกับกรุงเทพที่เราคิดว่าเล็กแล้วแต่ก็ใหญ่กว่า เพราะกรุงเทพมีพื้นที่ 1569 ตร.กม.
ความเป็นเมืองเล็กๆการเดินจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะสามารถเดินผ่านจากจุดสำคัญได้ตลอดทางภายในครึ่งวัน เช่นแพลนของเราคือการเดินจากที่พักแถว Central Station ออกไปเจอสวนสนุก Tivoli เดินไล่ไปเรื่อยๆจนไปเจอย่านช้อปปิ้งชื่อดัง Stroget Street เดินไปสักพักก็จะเจอแลนด์มาร์คของเมืองที่เราตั้งใจมาเยือนมากที่สุด นั่นก็คือท่าเรือ Nyhavn ที่ตรงนี้เป็นสถานที่ในฝันที่ทำให้เราตัดสินใจจองตั๋วทริปนี้เลย ฉันจะไปยืนตรงนั้นเช็คอินถ่ายรูปแล้วพูดคำว่า มาถึงแล้วโว้ย
จากท่าเรือNyhavn ถ้าเดินไปอีกสักหน่อยก็จะเจอเงือกน้อยคอยรัก Little Mermaid 🧜♀️ แต่เอาความจริงถ้าไม่มีเวลาก็ไม่ต้องไปก็ได้เพราะไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ถ้าใครเป็นสายคาเฟ่ หรือมีกิจกรรมอื่นๆเอาเวลาที่เดินไปหานางเงือกแสนไกลเปลี่ยนไปจิบกาแฟอุ่นๆจะชิคกว่า
ส่วนถ้าใครอยากปั่นจักรยานก็เป็นเรื่องง่าย หาเช่าได้สบายมาก เพราะที่นี่คือเมืองของจักรยานไม่ต่างจากอัมสเตอร์ดัม แถมยังมีทางพิเศษ สะพานเพื่อจักรยานโดยเฉพาะ สุดๆไปเลย
ที่นี้ก็เข้าสู่เรื่องความทุกข์ของเราในโคเปนดีกว่า ฮือๆ
เมืองในฝันในแบบที่ฉันเจอ
สืบเนื่องจากนิยามความเป็นเมืองที่มีประชากรที่มีความสุขที่สุดในโลก ทำให้เราตกเป็นผู้ร้ายกลายเป็นคนเลวในพริบตา เพราะว่าระบบการขึ้นรถไฟที่นี่จะใช้การซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติ แต่ไม่มีที่ติ๊ดบัตรหรือเครื่องสอดบัตรแบบบีทีเอสบ้านเราเลย เพราะว่าที่นี่ใช้ความซื่อสัตย์ในการขึ้นรถไฟจ้า พูดง่ายๆคือแอบขึ้นฟรีก็ได้ เดินขึ้นลงสถานีรถไฟละเข้าขบวนไปได้เลย เริ่ดมั๊ยล่ะ
แต่ แต่.. การไม่มีที่สอดบัตรแต่อย่าคิดว่าจะโกง เพราะจะมีเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจ ซึ่งผู้โชคร้ายคนนั้นก็คือดิฉันเองค่ะคุณผู้ชม (นี่คือที่มาของความทุกข์)
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาและการเข้าใจผิดก็คือ ตอนมาถึงสนามบิน เรากดซื้อตั๋วรถไฟ2ใบ จ่ายราคา2คน แต่ได้ตั๋วมาแค่1ใบ พูดง่ายๆคือระบบเขาประหยัดกระดาษ แค่เก็บตั๋วนี้ไว้เป็นหลักฐานก็พอ รอบแรกของเราก็ผ่านมาด้วยดีด้วยการอ่านตรวจดูและไม่มีการสุ่มตรวจใดๆทั้งสิ้น จนวันแรกก็เดินเที่ยวทั้งวัน จนเกิดเรื่องขึ้นในวันที่2
วันที่2 เราเดินจากที่พักไปเที่ยว Freetown Christiania ที่นี่เป็นชุมชนของชาวฮิปปี้ เขตปกของตนเองของคนรักอิสระ มีกฏหมายเป็นของตัวเอง ซื้อขายกัญชาได้อย่างเสรีในพื้นที่นี้ และรวมผลงานภาพวาดสินค้าเก๋ๆมีจิตวิญญาณน่าสนใจมาก ข้อสำคัญคือดูแต่ตาอย่าถ่ายรูป เราจึงมีภาพแค่ด้านนอกของที่นี่
และเราก็มีเป้าหมายที่จะไป Superkilen Park กันต่อ ซึ่งไกลจากที่นี่พอสมควร เลยตัดสินใจนั่งรถไฟไป และการซื้อตั๋วครั้งนี้เราคิดว่าคงเหมือนครั้งแรกที่ซื้อ2คนได้ตั๋วใบเดียว และก็เจอการซุ่มตรวจครั้งแรก เรายื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่อย่างมั่นใจพร้อมยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร ผลปรากฏว่าเจ้าหน้าที่แจ้งว่า นี่คุณซื้อตั๋วมาแค่ใบเดียวแล้วเพื่อนคุณล่ะตั๋วไปไหน งานเข้าแล้วค่ะ เราหยิบมาอ่านอีกครั้ง พร้อมเช็คเงินในบัญชีในมือถือก็ถูกหักไปในราคา 2 คน ทำไมบนตั๋วขึ้นแบบนี้ หรือว่า ตั๋วปริ้นออกมา2ใบ แล้วเราลืมหยิบ
เราพยายามจะอธิบายให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าเราไม่ได้โกงหรืออาจจะเกิดความผิดพลาดเพราะภาษาอังกฤษเราไม่ได้เก่งกดผิด หรือว่าเราลืมหยิบตั๋ว เพราะเงินถูกหักไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ฟังคำอธิบายหรือเห็นใจใดๆ บอกเราเพียงไปยื่นคำร้องในเว็บไซต์เอานะ นี่คือใบสั่งของคุณ จบข่าว!!!
หลังจากเกิดเหตุนั้น เราช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดความสามารถไม่ว่าจะไปหาเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟ ส่งเมล์ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจ้งส่งผิดส่งถูก สิ่งที่ดีคือทุกหน่วยงานตอบกลับมาเทคแคร์แนะนำดีมาก หรือแม้กระทั่งยื่นคำร้องตามเว็บไซต์ที่เจ้าหน้าที่บอก แต่ผลออกมาก็คือหลักฐานเราแค่ยอดเงินในธนาคารที่ถูกหักไปไม่เพียงพอ แม้ว่าเวลาจะตรงกันเป๊ะกับบนตั๋วรถไฟก็ตาม
เคสนี้สอนให้เรามีสติรอบคอบ ต้องอ่านเช็คเอกสารอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้อีกในการมาเที่ยวยุโรป เราแอบนอยกับโคเปนเฮเกนเมืองในฝันนิดๆ เพราะเราก็พยายามยืนยันความซื่อสัตย์ของตนเองด้วยหลักฐานที่มีเหมือนกัน ถ้าได้มาอีกครั้งก็คงจะเดินๆแล้วก็เดินๆ ฮ่าๆ
เรื่องที่น่าสนใจ
Amsterdam | คลั่งไคล้อัมสเตอร์ดัม
JAPAN ON DECEMBER | โตเกียวมีใบแป๊ะก๋วยสีเหลือง ซัปโปโรมีหิมะสีขาว